วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท บทละครพูดพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์ของพระองค์เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ ที่ทรงจินตนาการขึ้นด้วยพระองค์เอง โดยเริ่มพระราชนิพนธ์ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ เสร็จสมบูรณ์วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖  รวมเวลา ๔๕ วัน เมื่อพระราชนิพนธ์เสร็จก็พระราชทานแก่สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีพระวรชายา โดยแนวคิดของเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความลุ่มหลง ความเจ็บปวด ความทุกข์ระทมเพราะความรัก
                บทละครเรื่องนี้ ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของบทละครพูดคำฉันท์ด้วยการเลือกถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ดีเยี่ยม ตลอดจนมีการวางโครงเรื่องที่ชวนให้ติดตาม ทั้งยังสอดแทรกคติสอนใจเรื่องความรักได้อย่างซาบซึ้งกินใจอีกด้วย
มัทนาหรือ มทนหมายถึง ความลุ่มหลงหรือความรัก
มัทนะพาธาแปลว่า ความเจ็บปวดหรือความเดือดร้อนเพราะความรักซึ่งเป็นแก่นเรื่องของเรื่องนี้
ประวัติผู้แต่ง
                พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ มีพระนามเดิมว่ามหาวชิราวุธ เป็นโอรสองค์ที่ ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๒๓ ทรงศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเสด็จนิวัติประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๔๓๘ เพื่อรับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร ( ผู้ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ) และทรงกลับไปศึกษาวิชาทหาร ณ โรงเรียนทหารบกที่แซนด์เฮิซต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ ได้เข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และวิชากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นพิเศษ จนแต่งบทละครเป็นภาษาอังกฤษได้ เมื่อสำเร็จการศึกษา พระองค์ทรงเสด็จประพาสยุโรปก่อน แล้วจึงเสด็จ    นิวัติประเทศไทย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ขณะมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ( ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา) วัตถุประสงค์ในการพระราชนิพนธ์ เรื่อง มัทนะพาธา ทรงตั้งพระทัยเพื่อเป็นหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ที่สนุกสนานในด้านเนื้อหา และเป็นคติสอนใจให้เห็นถึงอานุภาพของความรัก
ผลงานพระราชนิพนธ์
                พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นเลิศ จึงทรงมีพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง กว่า ๒๐๐ เรื่อง เช่น เรื่องศกุนตรา รามเกียรติ์ บทละครเรื่องเวนิสวานิช เป็นต้น ในงานพระราชนิพนธ์ทรงใช้นามปากกาว่า อัศวพาหุ รามจิตติ พันแหลม ศรีอยุธยานายแก้วนายขวัญ พระขรรค์เพชร นายแก้ว ณ อยุธยา น้อยลา ท่านราม ณ กรุงเทพ สำหรับบทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของบทละครพูดคำฉันท์นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจ้าอยู่หัวยังทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่า พระมหาธีรราชเจ้าซึ่งมีความหมายว่า นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
จุดประสงค์ในการแต่ง
เดิมมีจุดหมายเพียงเพื่อเป็นหนังสือสำหรับอ่านกวีนิพนธ์ ต่อมาได้มีผู้ขอให้จัดเล่นออกโรง จึงโปรดฯให้ใช้แสดงละครด้วย
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะคำประพันธ์ : บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา ประกอบด้วยคำประพันธ์หลายชนิดดังนี้
                ๑. กาพย์ ๓ ชนิด คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
                ๒. ฉันท์ ๒๑ ชนิด เช่น วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อุปชาติฉันท์ ๑๑ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เป็นต้น
เนื้อเรื่อง
                ภาคสวรรค์ : กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตกาลเป็นกษัตริย์ครองแคว้นปัญจาล มัทนาเป็นพระธิดากษัตริย์ของแคว้นสุราษฎร์ สุเทษณ์ได้ส่งทูตไปสู่ขอนาง แต่ท้าวสุราษฎร์พระบิดาของนางไม่ยอมยกให้ สุเทษณ์จึงยกทัพไปรบทำลายบ้านเมืองของท้าวสุราษฎร์จนย่อยยับ และจับท้าวสุราษฎร์มาเป็นเชลยและจะประหารชีวิต แต่มัทนาขอไถ่ชีวิตพระบิดาไว้ โดยยินยอมเป็นบาทบริจาริกาของสุเทษณ์ ท้าวสุราษฎร์จึงรอดจากพระอาญา จากนั้นมัทนาก็ปลงพระชนม์ตนเอง และไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์นามว่า มัทนา ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ทำพลีกรรมจนสำเร็จ เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์เช่นกัน ด้วยผลกรรมที่เคยได้นางมาเป็นคู่ทำให้มีโอกาสได้พบกันอีกบนสวรรค์ แต่นางมัทนาก็ยังไม่มีใจรักสุเทษณ์เทพบุตรเช่นเดิม
                ณ วิมานของสุเทษณ์ ได้มีคนธรรพ์เทพบุตร เทพธิดาที่เป็นบริวารต่างมาบำเรอขับกล่อมถวาย แต่ถึงกระนั้นสุเทษณ์เทพบุตรก็ไม่มีความสุข เพราะรักนางมัทนา แต่ไม่อาจสมหวังเพราะผลกรรมที่ทำไว้ในอดีต จึงให้วิทยาธรชื่อมายาวินใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดให้นางมายังวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร ฝ่ายมัทนาเมื่อถูกเวทย์มนตร์สะกดมา สุเทษณ์จะตรัสถามอย่างไรนางก็ทวนคำถามอย่างนั้นทุกครั้งไป จนสุเทษณ์เทพพระบุตรขัดพระทัย รู้สึกเหมือนตรัสกับหุ่นยนต์ ดังความที่ว่า คราใดเราถาม  หล่อนก็ย้อนความ  เหมือนเช่นถามไป  ดังนี้จะยวน  ชวนเชยฉันใด  ก็เปรียบเหมือนไป  พูดกับหุ่นยนต์ 
                จึงให้มายาวินคลายมนตร์สะกด เมื่อนางรู้สึกตัวก็ตกใจกลัวที่ล่วงล้ำเข้าไปถึงวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร สุเทษณ์เทพบุตรถือโอกาสฝากรัก มัทนาแสดงความจริงใจว่านางไม่ได้รักสุเทษณ์เทพบุตรจึงไม่อาจรับรักได้  และนางมัทนาตั้งมั่นว่า หม่อนฉันนั้นเป็นผู้ถือ  สัจจาหนึ่งคือ  ว่าแม้นมิรักจริงใจ, ถึงแม้จะมีชายใด  ขอสมพาสไซร้  ก็จะมิยอมพร้อมจิตเมื่อได้ยินดังนั้นสุเทษณ์เทพบุตรรู้สึกกริ้วนางมัทนาเป็นที่สุด จึงสาปให้มัทนาจุติจากสวรรค์ไปเกิดยังโกมนุษย์  แล้วถามนางว่าอยากเกิดเป็นอะไร  แล้วถ้าเกิดแล้วจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะสำนึกผิดได้ จากนั้นให้นางวิงวอนให้สุเทษณ์มาช่วยและรับนางกลับสวรรค์ นางมัทนาจึงบอกกับสุเทษณ์ว่านางอยากไปเกิดเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีประโยชน์ ดังความว่า
         อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่ง           พระจะลงพระอาญา
             ข้าเป็นแต่เพียงข้า            บมิมุ่งจะอวดดี.
             หม่อมฉันนี่อาภัพ            และก็โชคบ่พึงมี,
             จึ่งไม่ได้รองศรี                วรบาทพระจอมแมน.
             อันทรงเมตตาควร           จะประจบและตอบแทน
             คุณท่านที่มากแสน          คณนาประมวลมี.
             อันโปรดให้เลือกตาม      ฤดิข้าณบัดนี้,
             ขอเป็นซึ่งมาลี                  รุจิเรขวิไลวรรณ,
             สุดแท้แต่จอมสรวง          จะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
             ขอเพียงให้มีคัน-              ธะระรื่นระรวยหอม.
             ด้วยกลิ่นของข้าบาท        ก็จะได้ประณตน้อม
             ใจนิตย์บูชาจอม               สุระบ่มบำเพ็ญบุญ,
             ข้าขอแต่เพียงให้               มรุทรงพระการุญ.
             ให้ข้าได้ทำคุณ                  และประโยชน์บ่อยู่หมัน
สุเทษณ์รับปากตามที่นางมัทนาขอ แล้วถามมายาวินว่า ดอกไม้อะไรที่จะมีคุณสมบัติตามที่นางขอและต้องมีหนามไว้ป้องกันตัวด้วย มายาวินตอบว่า
เทวะ! อันไม้งามสรรพ            มีลักษณ์ต้องกับ        พระองค์ดำรัสนั้นมี
              ในนันทะโนทยานศรี,    องค์พระศจี             ธโปรดเป็นยอดมาลา.
              เห็นมีแต่ในฟากฟ้า,      ในแดนคนหา           ไม้นี้มิได้แห่งไหน.
สุเทษณ์    ไม้นี้มีนามฉันใด?         ท่านจงเล่าให้          เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง.
สุเทษณ์ถามมายาวินถึงชื่อดอกไม้ มายาวินอธิบายว่า
               ไม้เรียกผะกากุพฺ-        ชะกะสีอรุณแสง
               ปานแก้มแฉล้มแดง      ดรุณีณยามอาย;
               ดอกใหญ่และเกสร       สุวคนธะมากมาย,
               อยู่ทนบวางวาย             มธุรสขจรไกล;
               อีกทั้งสะพรั่งหนาม      ดุจะเข็มประดับไว้
               ผึ้งเขียวสิบินไขว่          บมิใคร่จะห่างเหิน.
               อันกุพฺชะกาหอม          บริโภคอร่อยเพลิน,
               รสหวานสิหวานเชิญ    นรลิ้มเพราะเลิศรส;
               กินแล้วระงับตรี            พิธะโทษะหายหมด,
               คือลมและดีลด              ทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์;
               อีกทั้งเจริญกา-               มะคุณาภิรมย์นันท์,
               เย็นในอุราพลัน,             และระงับพยาธี.
                ดังนั้นสุเทษณ์จึงสาปนางให้เป็นดอก กุพฺชะกะ (ดอกกุหลาบ) ในป่าหิมาวันในโลกมนุษย์ และเปิดโอกาสให้นางกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเท่านั้นเมื่อใดที่นางมีรักเมื่อนั้นจึงจะพ้นคำสาปและกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างปกติ หากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะความรักก็ให้นางอ้อนวอนต่อพระองค์จึงจะยกโทษทัณฑ์ให้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสาเหตุของปมขัดแย้งในเรื่อง คือ สุเทษณ์รักนางมัทนาแต่นางไม่รักตอบ
                ภาคพื้นดิน : พระฤๅษีได้ขุดเอาดอกกุหลาบจากป่าหิมาวันไปปลูกไว้กับอาศรม เมื่อคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง นางจะปรากฏโฉมเป็นมนุษย์มาปรนนิบัติรับใช้พระฤๅษี วันหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งนครหัสดิน เสด็จประพาสป่ามาถึงอาศรมพระฤๅษี ตรงกับคืนวันเพ็ญที่มัทนากลายร่างเป็นมนุษย์ และได้พบกับท้าวชัยเสนและเกิดความรักต่อกัน พระฤๅษีจึงจัดพิธีอภิเษกให้ ชัยเสนได้พานางกลับนครหัสดิน ท้าวชัยเสนหลงใหลรักใคร่นางมัทนามาก ทำให้นางจัณฑีมเหสี หึงหวง และอิจฉาริษยา จึงทำอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิดว่ามัทนาเป็นชู้กับนายทหารเอก นางมัทนาจึงถูกสั่งประหารชีวิต แต่เพชฌฆาตสงสารจึงปล่อยนางไป
                นางมัทนากลับไปยังอาศรมพระฤๅษีและวิงวอนให้สุเทษณ์เทพบุตรช่วย สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักนางอีกครั้งหนึ่งแต่นางปฏิเสธ สุเทษณ์เทพบุตรจึงสาปให้นางเป็นดอกกุหลาบตลอดไป
                บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธาถือเป็นวรรณคดีเรื่องเยี่ยมและได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็นแบบอย่างของบทละครพูดคำฉันท์ โดยวรรณคดีเรื่องนี้ให้ความเพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวนติดตาม และวรรณศิลป์อันไพเราะแล้วยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักอย่างน่าสนใจ จึงควรศึกษาวรรณคดีเรื่องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

เเบบฝึกหัด  https://forms.gle/eWYMAUCUcn3TRWFYA

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท “ บทละครพูด ” พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถทา...