บทละครเรื่องนี้
ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า “เป็นยอดของบทละครพูดคำฉันท์”ด้วยการเลือกถ้อยคำที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ดีเยี่ยม
ตลอดจนมีการวางโครงเรื่องที่ชวนให้ติดตาม
ทั้งยังสอดแทรกคติสอนใจเรื่องความรักได้อย่างซาบซึ้งกินใจอีกด้วย
“มัทนา” หรือ “มทน” หมายถึง
ความลุ่มหลงหรือความรัก
“มัทนะพาธา” แปลว่า “ความเจ็บปวดหรือความเดือดร้อนเพราะความรัก”
ซึ่งเป็นแก่นเรื่องของเรื่องนี้
ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖ มีพระนามเดิมว่ามหาวชิราวุธ เป็นโอรสองค์ที่ ๒๙
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑
มกราคม ๒๔๒๓ ทรงศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา
ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเสด็จนิวัติประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม
๒๔๓๘ เพื่อรับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร (
ผู้ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป ) และทรงกลับไปศึกษาวิชาทหาร ณ
โรงเรียนทหารบกที่แซนด์เฮิซต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓
ได้เข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และวิชากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
แต่ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นพิเศษ จนแต่งบทละครเป็นภาษาอังกฤษได้
เมื่อสำเร็จการศึกษา พระองค์ทรงเสด็จประพาสยุโรปก่อน แล้วจึงเสด็จ นิวัติประเทศไทย เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่
๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ขณะมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ (
ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา) วัตถุประสงค์ในการพระราชนิพนธ์ เรื่อง
มัทนะพาธา ทรงตั้งพระทัยเพื่อเป็นหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ที่สนุกสนานในด้านเนื้อหา
และเป็นคติสอนใจให้เห็นถึงอานุภาพของความรัก
ผลงานพระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นเลิศ
จึงทรงมีพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง กว่า ๒๐๐ เรื่อง เช่น เรื่องศกุนตรา
รามเกียรติ์ บทละครเรื่องเวนิสวานิช เป็นต้น ในงานพระราชนิพนธ์ทรงใช้นามปากกาว่า
อัศวพาหุ รามจิตติ พันแหลม ศรีอยุธยานายแก้วนายขวัญ พระขรรค์เพชร นายแก้ว ณ อยุธยา
น้อยลา ท่านราม ณ กรุงเทพ สำหรับบทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่าเป็นยอดของบทละครพูดคำฉันท์นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจ้าอยู่หัวยังทรงได้รับพระราชสมัญญานามว่า
“พระมหาธีรราชเจ้า” ซึ่งมีความหมายว่า
“นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่”
จุดประสงค์ในการแต่ง
เดิมมีจุดหมายเพียงเพื่อเป็นหนังสือสำหรับอ่านกวีนิพนธ์
ต่อมาได้มีผู้ขอให้จัดเล่นออกโรง จึงโปรดฯให้ใช้แสดงละครด้วย
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะคำประพันธ์
: บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา ประกอบด้วยคำประพันธ์หลายชนิดดังนี้
๑. กาพย์ ๓ ชนิด คือ กาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
๒. ฉันท์ ๒๑ ชนิด เช่น
วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อุปชาติฉันท์ ๑๑ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒
อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ เป็นต้น
เนื้อเรื่อง
ภาคสวรรค์ :
กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตร ซึ่งในอดีตกาลเป็นกษัตริย์ครองแคว้นปัญจาล
มัทนาเป็นพระธิดากษัตริย์ของแคว้นสุราษฎร์ สุเทษณ์ได้ส่งทูตไปสู่ขอนาง
แต่ท้าวสุราษฎร์พระบิดาของนางไม่ยอมยกให้
สุเทษณ์จึงยกทัพไปรบทำลายบ้านเมืองของท้าวสุราษฎร์จนย่อยยับ
และจับท้าวสุราษฎร์มาเป็นเชลยและจะประหารชีวิต แต่มัทนาขอไถ่ชีวิตพระบิดาไว้
โดยยินยอมเป็นบาทบริจาริกาของสุเทษณ์ ท้าวสุราษฎร์จึงรอดจากพระอาญา
จากนั้นมัทนาก็ปลงพระชนม์ตนเอง และไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์นามว่า มัทนา
ส่วนท้าวสุเทษณ์ก็ทำพลีกรรมจนสำเร็จ เมื่อสิ้นพระชนม์ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์เช่นกัน
ด้วยผลกรรมที่เคยได้นางมาเป็นคู่ทำให้มีโอกาสได้พบกันอีกบนสวรรค์
แต่นางมัทนาก็ยังไม่มีใจรักสุเทษณ์เทพบุตรเช่นเดิม
ณ วิมานของสุเทษณ์
ได้มีคนธรรพ์เทพบุตร เทพธิดาที่เป็นบริวารต่างมาบำเรอขับกล่อมถวาย
แต่ถึงกระนั้นสุเทษณ์เทพบุตรก็ไม่มีความสุข เพราะรักนางมัทนา
แต่ไม่อาจสมหวังเพราะผลกรรมที่ทำไว้ในอดีต
จึงให้วิทยาธรชื่อมายาวินใช้เวทมนตร์คาถาไปสะกดให้นางมายังวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร
ฝ่ายมัทนาเมื่อถูกเวทย์มนตร์สะกดมา
สุเทษณ์จะตรัสถามอย่างไรนางก็ทวนคำถามอย่างนั้นทุกครั้งไป
จนสุเทษณ์เทพพระบุตรขัดพระทัย รู้สึกเหมือนตรัสกับหุ่นยนต์ ดังความที่ว่า “คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป ดังนี้จะยวน
ชวนเชยฉันใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับหุ่นยนต์”
จึงให้มายาวินคลายมนตร์สะกด
เมื่อนางรู้สึกตัวก็ตกใจกลัวที่ล่วงล้ำเข้าไปถึงวิมานของสุเทษณ์เทพบุตร
สุเทษณ์เทพบุตรถือโอกาสฝากรัก
มัทนาแสดงความจริงใจว่านางไม่ได้รักสุเทษณ์เทพบุตรจึงไม่อาจรับรักได้ และนางมัทนาตั้งมั่นว่า “หม่อนฉันนั้นเป็นผู้ถือ
สัจจาหนึ่งคือ ว่าแม้นมิรักจริงใจ,
ถึงแม้จะมีชายใด
ขอสมพาสไซร้ ก็จะมิยอมพร้อมจิต”
เมื่อได้ยินดังนั้นสุเทษณ์เทพบุตรรู้สึกกริ้วนางมัทนาเป็นที่สุด
จึงสาปให้มัทนาจุติจากสวรรค์ไปเกิดยังโกมนุษย์
แล้วถามนางว่าอยากเกิดเป็นอะไร
แล้วถ้าเกิดแล้วจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะสำนึกผิดได้
จากนั้นให้นางวิงวอนให้สุเทษณ์มาช่วยและรับนางกลับสวรรค์
นางมัทนาจึงบอกกับสุเทษณ์ว่านางอยากไปเกิดเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมและมีประโยชน์
ดังความว่า
“อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่ง พระจะลงพระอาญา
ข้าเป็นแต่เพียงข้า บมิมุ่งจะอวดดี.
หม่อมฉันนี่อาภัพ และก็โชคบ่พึงมี,
จึ่งไม่ได้รองศรี วรบาทพระจอมแมน.
อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน
คุณท่านที่มากแสน คณนาประมวลมี.
อันโปรดให้เลือกตาม ฤดิข้าณบัดนี้,
ขอเป็นซึ่งมาลี รุจิเรขวิไลวรรณ,
สุดแท้แต่จอมสรวง จะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม.
ด้วยกลิ่นของข้าบาท ก็จะได้ประณตน้อม
ใจนิตย์บูชาจอม สุระบ่มบำเพ็ญบุญ,
ข้าขอแต่เพียงให้ มรุทรงพระการุญ.
ให้ข้าได้ทำคุณ และประโยชน์บ่อยู่หมัน”
สุเทษณ์รับปากตามที่นางมัทนาขอ
แล้วถามมายาวินว่า
ดอกไม้อะไรที่จะมีคุณสมบัติตามที่นางขอและต้องมีหนามไว้ป้องกันตัวด้วย
มายาวินตอบว่า
“เทวะ!
อันไม้งามสรรพ มีลักษณ์ต้องกับ พระองค์ดำรัสนั้นมี
ในนันทะโนทยานศรี, องค์พระศจี ธโปรดเป็นยอดมาลา.
เห็นมีแต่ในฟากฟ้า, ในแดนคนหา ไม้นี้มิได้แห่งไหน.
สุเทษณ์ ไม้นี้มีนามฉันใด? ท่านจงเล่าให้ เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง.”
สุเทษณ์ถามมายาวินถึงชื่อดอกไม้
มายาวินอธิบายว่า
“ไม้เรียกผะกากุพฺ- ชะกะสีอรุณแสง
ปานแก้มแฉล้มแดง ดรุณีณยามอาย;
ดอกใหญ่และเกสร สุวคนธะมากมาย,
อยู่ทนบวางวาย มธุรสขจรไกล;
อีกทั้งสะพรั่งหนาม ดุจะเข็มประดับไว้
ผึ้งเขียวสิบินไขว่ บมิใคร่จะห่างเหิน.
อันกุพฺชะกาหอม บริโภคอร่อยเพลิน,
รสหวานสิหวานเชิญ นรลิ้มเพราะเลิศรส;
กินแล้วระงับตรี พิธะโทษะหายหมด,
คือลมและดีลด ทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์;
อีกทั้งเจริญกา- มะคุณาภิรมย์นันท์,
เย็นในอุราพลัน, และระงับพยาธี.”
ดังนั้นสุเทษณ์จึงสาปนางให้เป็นดอก
กุพฺชะกะ (ดอกกุหลาบ) ในป่าหิมาวันในโลกมนุษย์
และเปิดโอกาสให้นางกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนเท่านั้นเมื่อใดที่นางมีรักเมื่อนั้นจึงจะพ้นคำสาปและกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างปกติ
หากเมื่อใดที่นางมีทุกข์เพราะความรักก็ให้นางอ้อนวอนต่อพระองค์จึงจะยกโทษทัณฑ์ให้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสาเหตุของปมขัดแย้งในเรื่อง
คือ สุเทษณ์รักนางมัทนาแต่นางไม่รักตอบ
ภาคพื้นดิน :
พระฤๅษีได้ขุดเอาดอกกุหลาบจากป่าหิมาวันไปปลูกไว้กับอาศรม
เมื่อคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง นางจะปรากฏโฉมเป็นมนุษย์มาปรนนิบัติรับใช้พระฤๅษี
วันหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งนครหัสดิน เสด็จประพาสป่ามาถึงอาศรมพระฤๅษี
ตรงกับคืนวันเพ็ญที่มัทนากลายร่างเป็นมนุษย์
และได้พบกับท้าวชัยเสนและเกิดความรักต่อกัน พระฤๅษีจึงจัดพิธีอภิเษกให้
ชัยเสนได้พานางกลับนครหัสดิน ท้าวชัยเสนหลงใหลรักใคร่นางมัทนามาก
ทำให้นางจัณฑีมเหสี หึงหวง และอิจฉาริษยา
จึงทำอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิดว่ามัทนาเป็นชู้กับนายทหารเอก
นางมัทนาจึงถูกสั่งประหารชีวิต แต่เพชฌฆาตสงสารจึงปล่อยนางไป
นางมัทนากลับไปยังอาศรมพระฤๅษีและวิงวอนให้สุเทษณ์เทพบุตรช่วย
สุเทษณ์เทพบุตรได้ขอความรักนางอีกครั้งหนึ่งแต่นางปฏิเสธ
สุเทษณ์เทพบุตรจึงสาปให้นางเป็นดอกกุหลาบตลอดไป
บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง
มัทนะพาธาถือเป็นวรรณคดีเรื่องเยี่ยมและได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็นแบบอย่างของบทละครพูดคำฉันท์
โดยวรรณคดีเรื่องนี้ให้ความเพลิดเพลินจากเนื้อหาที่ชวนติดตาม
และวรรณศิลป์อันไพเราะแล้วยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักอย่างน่าสนใจ
จึงควรศึกษาวรรณคดีเรื่องนี้อย่างพินิจพิเคราะห์
เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการอ่านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
เเบบฝึกหัด https://forms.gle/eWYMAUCUcn3TRWFYA
เเบบฝึกหัด https://forms.gle/eWYMAUCUcn3TRWFYA